จะใช้มอลต์อะไรดี มอลต์ Pale Ale และ Pilsner

จะเลือกใช้อะไรดี Pale Ale VS Pilsner 

เพื่อนๆคงรู้กันแล้วว่า มอลต์เป็นพื้นฐานในการผลิตเบียร์ทุกตัว มอลต์แต่ละชนิดที่ถูกผลิตขึ้นมา จึงมีลักษณะเฉพาะตัวที่ส่งผลต่อรสชาติ สี และเนื้อสัมผัสของเบียร์ การเข้าใจความแตกต่างก็จะช่วยให้เรา สามารถเลือกใช้วัตถุดิบ ที่เหมาะสมกับสไตล์เบียร์ที่เราต้องการได้ค่ะ และรสชาติที่เราอยากให้เป็นได้ค่ะ

ความแตกต่างหลัก มอลต์ Pale Ale และ Pilsner

1. Pale Ale Malt

  • ประเภทข้าวบาร์เลย์: ส่วนใหญ่ผลิตจาก ข้าวบาร์เลย์ฤดูใบไม้ผลิ (Spring Barley) ซึ่งมีการปรับแต่งที่ดีและมีเอนไซม์ที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล
  • อุณหภูมิการคั่ว: ประมาณ 90–105°C ทำให้มีสีเข้มกว่า Pilsner Malt เล็กน้อย (3–5°L)
  • รสชาติ: มอลต์เข้มข้น มีกลิ่นขนมปังปิ้ง บิสกิต และหวานเล็กน้อย
  • เหมาะสำหรับ: Pale Ale, IPA, Stout, Porter และเบียร์ที่ต้องการรสชาติของมอลต์ที่ชัดเจน
  • ตัวอย่างมอลต์: Maris Otter, Golden Promise หรือ Weyermann Pale Ale Malt หรือ Pale Ale Malt ทั่วไป

2. Pilsner Malt

  • ประเภทข้าวบาร์เลย์: ส่วนใหญ่ผลิตจาก ข้าวบาร์เลย์ฤดูใบไม้ผลิ (Spring Barley) แต่โรงเบียร์ขนาดใหญ่อาจใช้ ข้าวบาร์เลย์ฤดูหนาว (Winter Barley) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
  • อุณหภูมิการคั่ว: ประมาณ 80–90°C ทำให้เป็น Base Malt ที่มีสีอ่อนที่สุด (1.5–2.5°L)
  • รสชาติ: บอดี้เบา หอมมอลต์อ่อนๆ มีความcrisp และหวานเล็กน้อย
  • เหมาะสำหรับ: Pilsner, Helles, Kölsch และเบียร์ลาเกอร์อื่นๆ
  • ตัวอย่างมอลต์: Weyermann Pilsner Malt, Bestmalz Pilsner Malt หรือ Pilsner Malt ทั่วไป

แล้วเราจะเลือกใช้มอลต์ตัวไหนดี

สำหรับ Brewer ที่ผ่านการต้มมาแล้วซักระยะหนึ่ง การเลือกใช้มอลต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของสไตล์ของเบียร์ แต่เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจว่ามอลต์มีผลต่อรสชาติและรสสัมผัสตอเบียร์ยังไงบ้าง ปัจจัยด้านล่าง เป็นสิ่งที่เหล่า Brewer ทั้งหลาย ใช้ในการตัดสินใจค่ะ:

1. ความสมดุล vs. ความเข้มข้น

  • หากต้องการได้เบียร์ ที่มีความขมที่โดดเด่นจากฮอปส์  (IPA, Pale Ale) ควรใช้ Pale Ale Malt ซึ่งให้รสชาติของมอลต์ที่สมดุลกับความขมของฮอปส์
  • หากต้องการ เบียร์ที่มีรสชาติ Clean และ Balance (Pilsner, Helles) ควรใช้ Pilsner Malt ที่ให้ความ Crisp และสดชื่นกว่า
  • แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทาง Brewer เอง ที่อาจจะเลือกเอา Pilsner ไปใช้ในการทำ IPA หรือ เบียร์ที่มีความโดดเด่นจากฮอปส์ ก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ

2. เนื้อสัมผัสและบอดี้ของเบียร์

  • Pale Ale Malt ให้บอดี้ที่หนากว่า ทำให้เหมาะกับเบียร์เอลที่มีรสชาติเข้มข้นกว่า
  • Pilsner Malt ให้บอดี้ที่เบากว่า ทำให้ดื่มง่ายและส่งเสริมให้เบียร์สดชื่นขึ้น

3. ประสิทธิภาพในการหมัก

  • มอลต์ทั้งสองชนิดมีการปรับแต่งที่ดี ทำให้หมักได้ง่าย แต่ Pilsner Malt มี เอนไซม์สูงกว่า จึงเหมาะกว่า หากใช้ร่วมกับวัตถุดิบอื่นๆ เช่น ข้าวหรือข้าวโพดในการทำเบียร์ที่ต่างออกไป

การเลือกมอลต์ที่เหมาะกับการต้มเบียร์

คุณสมบัติPale Ale MaltPilsner Malt
ประเภทข้าวบาร์เลย์ส่วนใหญ่เป็น Spring BarleySpring & Winter Barley
อุณหภูมิการคั่ว~90–105°C~80–90°C
สีของมอลต์ (°L)3–5°L1.5–2.5°L
ความสามารถทางเอนไซม์สูงสูงมาก
รสชาติเข้มข้นกว่า ขนมปังปิ้ง หวานเล็กน้อยเบา หอมอ่อนๆ Crisp และสดชื่น
เหมาะกับสไตล์เบียร์Pale Ale, IPA, Stout, PorterPilsner, Helles, Kölsch

สรุป – ควรเลือกมอลต์ตัวไหน?

หากต้องการทำ เบียร์ที่มีรสชาติเข้มข้นและเน้นให้มอลต์เด่น ก็ควรใช้ Pale Ale Malt เพื่อให้มีความลึกและความซับซ้อนของรสชาติมากขึ้นค่ะ  แต่หากต้องการ เบียร์ลาเกอร์ หรือเบียร์ที่เบา สดชื่น และ Crisp ก็ควรเลือก Pilsner Malt ค่ะ

เคล็ดลับจากเพิ่มเติม: ลองผสมมอลต์เพื่อสร้างเอกลักษณ์

พี่ Brewer สามารถผสม มอลต์ Pale Ale Malt และ Pilsner Malt เข้าด้วยกันเพื่อสร้างรสชาติที่แตกต่างเพิ่มขึ้นได้ค่ะ เช่น:

  • ใช้ Pilsner Malt 70% และ Pale Ale Malt 30% ในลาเกอร์เพื่อเพิ่มบอดี้เล็กน้อยแต่ยังคงความ Crisp 
  • ใช้ Pale Ale Malt 80% และ Pilsner Malt 20% ใน Ale เพื่อลดความหนักของมอลต์ลงเล็กน้อยแต่ยังคงรสชาติเข้มข้นอยู่ค่ะ

หรือลองสัดส่วนแบบไหนแล้วถูกใจ เอกมาแชร์เล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

Happy Brewing!